บทความ Perfume

ความแตกต่างของประเภทน้ำหอม

อะไรคือความแตกต่าง EDT, EDP และ Parfum ?

หากใครที่กำลังสงสัยหรือเคยสับสนว่าตัวอักษรย่อต่างๆที่อยู่ข้างหลังน้ำหอมแบรนด์เนม น้ำหอมเค๊าทเตอร์ที่เราชื่นชอบนั้นคืออะไร บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอมประเภท EDT EDP EDC หรือแม้แต่ Parfum 

โดยเราจะช่วยมาหาคำตอบและพาผู้อ่านทำความเข้าใจประเภทและชื่อย่อต่างๆของน้ำหอมทั้งหมดในบทความนี้

ที่มา ความหมาย และการออกเสียง

ก่อนอื่นเราจะเริ่มด้วยคำว่า “Eau de Toilette” (“โอ เดอ ตัวเล็ตต์”) สาเหตุที่น้ำหอมเลือกใช้คำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสต่อท้ายเนื่องจากเป็นการให้เกียรติประเทศต้นกำเนิดของน้ำหอม นั่นก็คือประเทศฝรั่งเศส โดยอ้างอิงตามข้อมูลที่เคยบันทึกไว้ว่า น้ำหอมเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1380 

คำว่า “Eau” หมายถึง “น้ำ” ในภาษาฝรั่งเศส ออกเสียงว่า “โอ”

คำว่า “De” หมายถึง “จาก” และออกเสียงว่า “เดอ”

คำว่า “Toilette” 1 ในคำที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นห้องน้ำ ซึ่งจริงๆแล้ว “Toilette” หมายถึง ขั้นตอนการทำความสะอาด ชำระล้างร่างกายและแต่งกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปร่วมงานสังสรรค์

ซึ่งหากแปลตรงตามตัวในภาษาอังกฤษก็คือ Water from Dressing แต่ในภาษาฝรั่งเศสนั้นแปลว่า “น้ำสำหรับไปร่วมงานพิเศษ” ซึ่งก็คือน้ำหอมนั่นเองโดยเราสามารถย่อให้เหลือคำสั้นๆว่า “perfume” คำเดียว 

Eau Fraiche

คำว่า “Fraiche” หมายถึง Fresh ในภาษาอังกฤษ โดยธรรมชาติแล้วน้ำหอมประเภทนี้ประกอบด้วยถือว่าเป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมหรือน้ำมันน้ำหอมในปริมาณน้อยที่สุด น้ำหอมที่มีแท็ก “Eau Fraiche” ปกติแล้วจะมีราคาถูกกว่ารุ่น “EDT หรือ EDP”  เนื่องจากประกอบด้วยน้ำมันน้ำหอมเพียง 1 ~ 3% 

โดย Eau Fraiche ปกติแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 3 ชั่วโมงแต่หากฉีดลงบนเสื้อผ้าก็จะทำให้กลิ่นติดทนกว่าเดิม

ปัจจุบันแม้ Eau Fraiche จะพบได้ไม่มากในประเทศไทย แต่สำหรับประเทศฝรั่งเศสแล้วเรายังสามารถซื้อหาได้ทั่วไป อาจจะมีบางคนสงสัยว่าทำไม Eau Fraiche ยังมีวางขายทั้งๆที่กลิ่นค่อนข้างจางและติดไม่ทน แต่หากมองในมุมของคนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นบางเบา ไม่ฉุนจนเกินไป อีกทั้งราคาถูก ก็จะทำให้เราเข้าใจได้ว่าตลาดส่วนนี้ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชอบ

 

“Eau Fraiche is here to the rescue !”

Eau de Cologne (EDC)

คำว่า “Cologne” หมายถึงน้ำหอม อย่างไรก็ตาม “Eau de Cologne” หรือ EDC หมายถึงน้ำหอมที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า EDT แต่มีความเข้มข้นมากกว่า Eau Fraiche

 

โดย Eau de Cologne คือ น้ำหอมที่มีความเข้มขึ้นมาอีกระดับหนึ่งโดยมีหัวเชื้อน้ำหอมอยู่ที่ประมาณ 2-6% ซึ่งกลิ่นจะอยู่ได้ประมาณ 4 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นถ้าฉีดบนเสื้อผ้า

 

อย่างที่กล่าวไปว่า EDC และ Eau Fraiche นั้นพบได้ไม่มากในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศถือว่ายังเป็นที่นิยมไม่ต่างจากน้ำหอมประเภทอื่นๆ

เราได้อธิบายคำว่า Eau de Toilette หรือ EDT ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ามีที่มาและมีความหมายอย่างไร 

EDT เป็นน้ำหอมที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและพบได้บ่อยที่สุดในบรรดาน้ำหอมทุกประเภท  เนื่องจาก Eau de Toilette จัดว่าเป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นของน้ำมันน้ำหอมที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

โดยเมื่อเราลองเปรียบเทียบ Eau de Toilette กับ EDP แล้ว ความเข้มข้นของหัวน้ำหอมเมื่อเทียบกับราคาและความติดทนของกลิ่นถือว่ามีความคุ้มค่า โดยมีความเข้มข้น 5-15% ซึ่งกลิ่นจะสามารถติดทนได้ถึง 48 ชั่วโมงหากฉีดบนเสื้อผ้าและ 6-10 ชั่วโมงบนผิว

 

Eau de Parfum หรือ EDP คือน้ำหอมที่มีเข้มข้นเป็นอันดับ 2 ในบรรดาของน้ำหอมทุกประเภท

ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อมีปริมาณน้ำมันน้ำหอมสูงขึ้น ก็ทำให้ EDP มีราคาสูงกว่า EDT เป็นธรรมดาและน้ำหอมประเภทนี้มักจะมีกลิ่นติดทนนานมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ชั่วโมงหากฉีดลงบนผิวและประมาณ 16 ชั่วโมงหากฉีดลงบนเสื้อผ้า 

หากเป็นเมื่อก่อน เราจะสามารถหา Eau de Parfum ได้จากน้ำหอมของผู้หญิงเพียงเท่านั้น แต่ปัจจุบันเริ่มมีหลายแบรนด์ได้หันมาผลิตน้ำหอม EDP สำหรับผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆ 

ดังนั้น..ทำไมใครๆถึงยังต้องการน้ำหอม EDT? ถ้าหากเราสามารถใช้น้ำหอมที่ติดทนกว่าได้ คำตอบนี้ก็คงไม่ต่างกับ Eau Fraicheโดย น้ำหอม Eau de Parfum นั้นกลิ่นจะค่อนข้างฉุนพอสมควร ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์บางอย่างหรือในสถานที่บางที่ เพราะอาจส่งกลิ่นรบกวนเพื่อนร่วมงานได้

อย่างไรก็ตาม น้ำหอม EDP ไม่ใช่ทุกกลิ่นที่มีกลิ่นแรงเกินไป แต่บางกลิ่นก็อาจนุ่มพอๆ กับ EDT 

Parfum คือน้ำหอมที่มีความเข้มข้นของหัวเชื้อน้ำหอมสูงที่สุดและมีราคาสูงที่สุดในบรรดาน้ำหอมทุกประเภท โดยทั่วไปจะมีหัวเชื้อน้ำหอมอยู่ที่ประมาณ 15-40% ซึ่งกลิ่นจะติดทนนานถึง 12 ชั่วโมงบนผิว

หากเป็นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว บอกได้เลยว่าเป็นเรื่องยากกับการที่เราจะเป็นเจ้าของน้ำหอมประเภท Parfum เนื่องจากราคาที่สูงมากโดยน้ำหอมขนาด 5 มล. อาจมีราคามากถึง 1500 บาท แต่ในปัจจุบันน้ำหอมประเภท  Parfum สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้นและมีราคาถูกลงกว่าเมื่อก่อนมาก โดย 100 มล. อาจมีราคาเพียง 4000 บาทเท่านั้น

สรุป

โดยสรุป ความแตกต่างของน้ำหอมแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับปริมาณหัวเชื้อหรือน้ำมันน้ำหอมที่ผสมลงไปในขวด น้ำหอมมีตั้งแต่ราคาเพียงไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลักหมื่นถึงหลักแสน ซึ่งเราควรจะเลือกใช้น้ำหอมแต่ละประเภทตามความต้องการและวาระโอกาสที่เหมาะสม